KUBET – เรอัล มาดริด “ฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด” ของ แอตมาดริด ในUCL

เรอัล มาดริด "ฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด" ของ แอตมาดริด ในUCL

โชคชะตาหรือความแข็งแกร่งของจิตใจ

ใดๆทั้งมวลใน เดร์บี้ มาดริเลนโญ่ เมื่อคืน ล้วนพุ่งเป้าไปที่จุดโทษของ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ

มันถูกริบตามกฏข้อที่ 14 ว่าด้วยการยิงลูกโทษ

“ผู้เล่นไม่สามารถสัมผัสลูกบอลเป็นครั้งที่ 2 หลังจากสัมผัสลูกบอลแล้ว”

ช่วงดูสด บอกตรงๆ ผมไม่เห็น และไม่รู้สึกเลยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกยิงของ ฮูเลี่ยน เลย

แต่ก่อนที่ผู้ตัดสิน ชีมอน มาร์ซิเนียก จะได้รับสัญญาณจากห้อง VAR นั้น ติโบลต์ กูร์กตัวส์ กับ คิลิยัน เอ็มบั๊บเป้ เป็นสองคนที่รู้สึกผิดสังเกต

เอ็มบั๊บเป้ ชูสองนิ้วฟ้องว่า ฮูเลี่ยน โดนบอลสองครั้ง ส่วน กูร์กตัวส์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า “ผมรู้สึกว่าเขาโดนบอล 2 ครั้ง ผมเลยไปบอกกับผู้ตัดสิน” (ซึ่ง กูร์กตัวส์ เองก็พูดว่า ฮูเลี่ยน โชคร้าย)

มาร์ซิเนียก เช็กกับทีมงานในห้อง VAR และยกเลิกประตูจากจุดโทษของ ฮูเลี่ยน ไม่มีการให้ยิงใหม่ เพราะยิงไปแล้ว และผิดกติกาไปแล้ว

แน่นอนว่า โชโล่ โมโหสุดขีด ในห้องเพรสเขาแทบจะทะเลาะกับนักข่าวที่ถามถึงเรื่องจุดโทษลูกนี้ พร้อมย้อนถามว่ามีใครเห็นมั๊ย ? มีใครเห็นมั๊ย ? ชูมือหน่อย ? ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถึงแม้ ดานี่ เซบายอส จะทวีตเป็นสัญลักษณ์รูปมืออารมณ์ว่า “ผมเนี่ยแหละที่เห็น” แต่เชื่อเถอะครับถ้าไม่มีภาพช้า แฟนบอลค่อนข้างโลกไม่มีใครเห็นหรอก

ฮูเลี่ยน เองยังก็บอกกับพี่น้องของเขาว่าไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองโดนบอลสองครั้ง

แม้มันจะโหดร้าย แต่กติกาก็ต้องเป็นกติกา กฏว่ามายังไงก็ต้องว่ากันไปตามนั้น ถือเป็นความโชคร้ายของ แอตเลติโก ที่ไม่รู้จะโทษใครดี

โทษ VAR ? โทษ ฮูเลี่ยน ? โทษผู้ตัดสิน ? หรือจะโทษโชคชะตาตัวเอง ?

สำหรับ แอตเลติโก และ โลส โกลโชเนโรส เรอัล มาดริด ใน แชมเปี้ยนส์ลีกคือ “ฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด” เป็นเหมือนกำแพงสีขาวที่ไม่อาจก้าวข้ามได้เสียที ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ตาม

2014 นำก่อนจาก ดีเอโก้ โกดิน ตั้งแต่นาทีที่ 36 ถ้วยบิ๊กเอียร์อยู่ในกระเป๋าพวกเขาแล้ว แต่นาที 90+3 โดน เซร์คิโอ รามอส กระชากออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

2016 ที่ มิลาน เกมก็เล่นได้สูสี ไม่ได้เป็นรองอะไรเหมือนนัดนี้ สุดท้ายพ่ายด้วยการดวลจุดโทษ 4-5 

เรื่องนี้ แอตเลติโก จะด่าทอโชคชะตาก็คงไม่ผิด แต่ถ้าวิเคราะห์ในมุมฟุตบอล สิ่งที่ เรอัล มาดริด มี และ แอตเลติโก ไม่มี หรืออาจมีแต่ไม่มากเท่า ก็คือความเด็ดขาดในห้วงวินาทีแห่งชีวิต 

นอกจาก ฮูเลี่ยน ที่พลาดแบบน่าเห็นใจแล้ว ต้องไม่ลืมว่า มาร์กอส ยอร์เรนเต้ คืออีกคนที่พลาดซัดไปชนคาน

แล้วลูกยิงสุดท้ายของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ก็ไม่ได้ว่ายิงดีเด่อะไร แต่ โอบลัค ดันเอาไม่อยู่เสียอย่างนั้น 

9 ปีก่อนที่ มิลาน มีคนได้ยิงจุดโทษทั้งหมด 10 คน มีคนพลาด 2 คน ปรากฏว่าเป็น กริซมันน์ กับ ฆวน ฟราน

คนแรกพลาดในเวลาปกติ อีกคนพลาดในการดวลจุดโทษตัดสิน ผมผู้ที่นั่งอยู่ในสนามวันนั้นกับพี่ลิตเติ้ลโจ กวาดตามองเห็นแฟนตราหมีร้องไห้กันระงม

คิดในมุมนี้ นักเตะเรอัล มาดริด มักเฉียบขาดกว่าในช่วงห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตายนี่แหละคือกุญแจดอกสำคัญ

ระหว่างเกมพวกเขาอาจทำพลาดไปมากมาย แต่พอถึงช่วงเวลาที่พลาดไม่ได้ พวกเขาก็ไม่พลาด

โอเคว่า มันไม่ใช่ทุกครั้ง แต่ มาดริด มักเป็นแบบนี้เสมอ จนมันกลายเป็นคาแรกเตอร์ไปแล้ว

ก็เหมือนที่แซวๆกันนั่นแหละครับ เพลงแชมเปี้ยนส์ลีกบรรเลงทีไร นักเตะมาดริดเหมือนได้ยินเพลงชาติตัวเอง มันเหมือนมีพลังพิเศษ

มาดริด กับ แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้ามองเป็นไสยศาสตร์ คุณก็จะได้แต่ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมและทำไม แต่ถ้าคิดเป็นวิทยาศาสตร์ คุณก็จะได้คำตอบแบบที่ผมเอ่ยถึงไปข้างต้นนั้นแหละครับ

(ขออนุญาตยืมคำ เฮียเม้ง ซัมเมอร์ฮิล มาใช้หน่อยครับ)

#เจมส์ลาลีกา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *